
ระบบปฏิบัติการแบบตอบสนอง 2 ทาง "Interactive" สำหรับการเรียนดนตรี
โดยเกิดมาจากกระบวนความคิดที่ต้องการปฏิรูปการศึกษา
ในวิชาดนตรีของโรงเรียนในระบบทั้งโรงเรียนรัฐบาล และเอกชน ด้วยวิธีคิดแบบพลิกกลับ 360 องศา
โดยมีจุดประสงค์ยกระดับการเรียนดนตรีเพื่อเอาเด็กไม่เก่งขึ้นมาพัฒนาให้ทันเพื่อน ไม่ปล่อยทิ้งไว้กลางทาง
วิชาดนตรีได้รับการยอมรับจากสังคมปัจจุบันใน 2 แง่มุมหลักคือ
ทางวิทยาศาสตร์กายภาพ โดยเชื่อว่าเสียงดนตรีเป็นคลื่นเสียง (WAVE) และสมองมนุษย์ก็มีคลื่นไฟฟ้าอยู่ แนวทางพัฒนาสมาธิต้องพัฒนาคลื่นสมอง ด้วยดนตรีพัฒนาคลื่นสมองและดนตรีคลาสสิกสมาธิ (พัฒนาสมาธิ) เนื่องจากดนตรีกลุ่มนี้จะช่วยลดคลื่นสมองจากคลื่นสมองระดับเบต้า ที่ทำให้มนุษย์มีความสับสนทางอารมณ์และขาดสมาธิ เป็นคลื่นสมองระดับอัลฟ่า , เทตร้าหรือเดลต้า
ซึ่งเป็นสภาวะที่มนุษย์มีสมาธิจิตดีมาก นักวิจัยทางประสาทวิทยา ได้ให้ข้อมูลจากการวัดคลื่นไฟฟ้าของสมอง
ได้แสดงให้เห็นว่ามีสภาวะของคลื่นสมองของมนุษย์อยู่ด้วยกัน 4 ระดับ คือ เบต้า อัลฟ่า เตตราและ เดลต้า ซึ่งนักวิจัยได้พบว่า
คลื่นเสียงสามารถกระตุ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาวะคลื่นสมองของมนุษย์ได้ ซึ่งเราอาจพบคลื่นเสียงต่าง ๆ เหล่านั้นได้
ในเพลงที่เราฟังปกติทั่วไป ซึ่งคลื่นไฟฟ้าที่กำเนิดขึ้นเหล่านั้นจะเข้าไปประสานสอดคล้องกับความถี่ของคลื่นสมองในแต่ละระดับ
ซึ่งมันจะกระตุ้นให้สมองเกิดการประสานหรือ ผูกโยง กับตัวของมันเอง ไปสู่จังหวะของดนตรีที่บรรเลง
คลื่นอัลฟ่า (Alpha wave) เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่ 8-13 รอบต่อวินาที
คลื่นเดลต้า (delta wave) เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่ 0.5-3 รอบต่อวินาที
สมาคมวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาทางด้านอารมณ์และพัฒนาการในการใช้ดนตรีเพื่อสุขภาพของญี่ปุ่น ศึกษาวิจัยพบว่าคลื่นอัลฟ่า
จะช่วยส่งเสริมความจำและความสนใจของเด็ก เมื่อจิตใจของคนอยู่ในสภาวะที่สงบนิ่ง จะเป็นช่วงที่คลื่นสมองคงที่ที่สุดและจะผลิตคลื่นอัลฟ่า ซึ่งจะทำให้ความจำของคนดีขึ้น
มีสมาธิมากขึ้นและมีผลดีต่อการพัฒนาสติปัญญาทางสมอง คลื่นสมองเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งผลิตมาจากกิจกรรม
ทางเคมีชีวภาพภายในเซลล์สมองของมนุษย์ ซึ่งสามารถวัดได้ด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เราเรียกว่าอีเลคโตรเอนเซฟาโลกราฟ
(the electroencephalograph ) หรือ อีอีจี (EEG) ความถี่ของคลื่นเหล่านั้นสามารถวัดได้ด้วยรอบต่อวินาที หรือ เฮิร์ท (Hz)
คลื่นสมองสามารถเปลี่ยนความถี่พื้นฐานของมันไปตามสภาวะของกิจกรรมทางประสาทภายในสมอง ซึ่งผูกยึดกับการเปลี่ยนแปลง
ทางจิตใจ อารมณ์ และจิตสำนึก (อริยะ สุพรรณเภษัช:2543)
ด้านอารมณ์ (ดนตรีคลาสสิกกับการพัฒนาไอคิว) (I.Q. / E.Q.)
โมสาร์ท เอฟเฟค (The Mozart Effects) เรื่องกำเนิดมาจากการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาสติปัญญาเด็กด้วยการให้เด็กฟังเพลงคลาสสิก ได้เริ่มต้นจากข้อสมมุติฐานที่เชื่อว่าเด็กจะโตขึ้นและมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว ถ้าได้ฟังเพลงคลาสสิก
-
ข้อสมมติฐานดังกล่าวมีต้นกำเนิดมาจากผลงานค้นคว้าในปี 1993 ของ Frances Rauscher นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย University of California วิทยาเขตเออร์ไวน์
-
การวิจัยเกี่ยวกับ The Mozart Effect : เพลงคลาสสิคทางเลือกใหม่ของการพัฒนาศักยภาพสมอง ให้เกิดการเพิ่มพูน ความทรงจำและความเฉลียวฉลาด (อริยะ สุพรรณเภษัช : 2543) หลายปีที่ผ่านมา ได้มีการทดลองซึ่งได้แสดงให้ทราบว่า การฟังดนตรีคลาสสิคจะทำให้สามารถเพิ่มพูนความทรงจำ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เรียกกันว่า The Mozart Effect เพราะว่าเพลงที่คัดเลือกมาใช้ในการเพิ่มพูนความจำนั้นเป็นเพลงของ Wolfgang Amadeus Mozart ประชาชนที่ได้อ่านรายงานเกี่ยวกับการทดลองนี้ จากวารสารและหนังสือพิมพ์ชื่อดังต่าง ๆ ก็สนใจที่จะฟังเพลงคลาสสิค เพราะว่ามันน่าจะเป็นวิถีทางที่ดีที่จะเพิ่มพูนความจำ และเพิ่มความเฉลียวฉลาดทางปัญญา
-
การทดลองนี้จุดเริ่มต้นได้ตีพิมพ์ที่ The Journal Nature โดยคณะนักวิทยาศาสตร์ ของ University of California ที่เมือง Irvine ในปี 1993 คณะวิจัยได้ทำการวิจัยโดยใช้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยดังกล่าว โดยแบ่งนักศึกษาออกเป็น 3 กลุ่มกำหนดให้ฟังเสียงต่อไปนี้ 10 นาที ได้แก่
1. เพลง sonata for two pianos in D major ของ Mozart
2. เพลง relaxation
3. ความเงียบ silence
ในทันทีหลังจากได้ฟังสิ่งที่คัดเลือกเหล่านั้น นักศึกษาแต่ละคนจะได้รับแบบทดสอบวัดทักษะเหตุผลด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial Reasoning Test) จาก The Stanford-Binet Intelligence Test ผลได้แสดงว่าคะแนนของนักเรียนเพิ่มขึ้นหลังจากได้ฟังเพลงของโมสาร์ท เมื่อเปรียบเทียบกับการฟังเพลงจากเทป relaxation และ เด็กที่นั่งนิ่ง ๆ และไม่เปิดเพลง (ความเงียบ) ภายใต้เวลาที่ผ่านไป
10-15 นาทีที่คณะวิจัยได้ทดลองกับกลุ่มทดลอง ซึ่งพวกเขาได้มีความเชื่อว่าความทรงจำจะสามารถถูกเพิ่มพูนได้เพราะว่า ดนตรีและความสามารถของทักษะด้านมิติสัมพันธ์ และการจินตนาการเกี่ยวกับตำแหน่งและเนื้อที่ของวัตถุในระบบ 3 มิติ และทักษะความฉลาดในการใช้
ช่องว่าง (spatial abilities) ภายในสมองจะมีความสัมพันธ์ร่วมกันภายในสมอง ดังนั้นพวกเขาจึงได้ข้อสรุปว่าดนตรี มีส่วนในการช่วยกระตุ้นสมองสำหรับการทดสอบเพลงของโมสาร์ท ต่อมาได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการพัฒนาศักยภาพสมองในเด็กทารก
โดยเชื่อว่าถ้าทารกคนไหนได้ฟังเพลงโมสาร์ทเป็นประจำ ทารกคนนั้นโตขึ้นจะมีสมองดี
นอกจากนี้ ความรู้ดังกล่าวยังได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางเพิ่มขึ้นเพราะต่อมาไม่นาน รัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐ ก็ได้ออกกฎบังคับให้เด็กเกิดใหม่ทุกคน ต้องได้รับการแจกแผ่นดิสก์บทเพลงของโมสาร์ท ตามด้วยรัฐฟลอริดา ที่ได้บังคับให้เด็กนักเรียน ทุกคนต้องฟังเพลงดนตรีคลาสสิกทุกวันที่ไปโรงเรียน
ดร. Kenneth Steele และคณะ (1999) รายงานการวิจัยของคณะนักวิจัยที่ Appalachian State University
โดยตีพิมพ์ใน Issue of Psychological Science ฉบับวันที่ 10 กรกฎาคม 1999 Vol.10 Pages 366-369
ดร.Kenneth Steele และ ผู้ร่วมงานวิจัย ซึ่งได้รายงานอธิบายสรุปสภาวะที่เกิดขึ้นกับสมองดังนี้ (อริยะ สุพรรณเภษัช:2543)
“มีเหตุต่าง ๆ อยู่เล็กน้อยที่เป็นพื้นฐานที่จะช่วยสนับสนุนความเฉลียวฉลาด” ผู้วิจัยได้ประสบความสำเร็จในการค้นพบ
ความมหัศจรรย์ของดนตรี ซึ่งได้มีการเจาะลึกถึงผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมด้านดนตรีกับทักษะการคิดวิเคราะห์เหตุผล
เชิงความสัมพันธ์สิ่งต่าง ๆ (Spatial-Temporal Reasoning) พวกเขาเลือกนักเรียนอนุบาล อายุอยู่ระหว่าง 3-4 ปี มาทำการทดลอง
อยู่ 8 เดือน โดยเด็กนักเรียนถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 ให้รับการอบรมบทเรียนทางด้านคีย์บอร์ด (Keyboard lessons)
กลุ่มที่ 2 ให้รับการอบรมบทเรียนทางด้านการร้องเพลง (Singing lessons)
กลุ่มที่ 3 ให้รับการอบรมบทเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์ (Computer lessons)
กลุ่มที่ 4 ไม่ได้รับการอบรม (No lessons)
หลังจากการปฏิบัติ 8 เดือน เด็กเหล่านั้นได้ถูกทดสอบพวกเขาในความสามารถทางด้าน ทักษะการคิดวิเคราะห์เหตุผลเชิงความสัมพันธ์
สิ่งต่าง ๆ (spatial-temporal reasoning) และทักษะความทรงจำเกี่ยวกับรูปร่าง (Spatial-recognition reasoning) ผลปรากฎว่า
พวกเขาพบว่ากลุ่มเด็กที่ได้รับการอบรมบทเรียนทางด้านคีย์บอร์ด สามารถทำคะแนนจากการทดสอบ ความสามารถทางด้าน ทักษะการคิดวิเคราะห์เหตุผลเชิงความสัมพันธ์สิ่งต่าง ๆ (the spatial-temporal test) ได้เพิ่มพูนขึ้น แม้แต่ว่าการทดลองต่อมาจะใช้เวลาสำหรับ
การอบรมบทเรียนทางด้านคีย์บอร์ดเพียงวันเดียว เด็กเหล่านั้นก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของคะแนน
แต่เด็กกลุ่มอื่นไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ในการทดสอบคะแนนจากแบบทดสอบทักษะความทรงจำเกี่ยวกับรูปร่าง
(Spatial-recognition test) สำหรับการอบรมบทเรียนทางด้านคีย์บอร์ดเพียงวันเดียว พบว่ามีการเพิ่มพูนขึ้นของคะแนน
แต่สำหรับกลุ่มอื่นไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของคะแนน การทดลองนี้ยืนยันเกี่ยวกับอิทธิพลของดนตรีที่มีต่อการพัฒนาศักยภาพทางสมอง
ดังนั้นจากผลการวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็ได้รายงานสอดคล้องต้องกันถึงประโยชน์ของดนตรีในฐานะ ที่อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง
ที่มีอิทธิพลต่อความฉลาดของมนุษย์ แต่ต้องเป็นดนตรีที่เกิดจากการฟังอย่างตั้งใจ หาใช่เพียงแค่การได้ยินอย่างเดียว
และควรได้เล่นดนตรีไปด้วยจะดีที่สุด
ด้วยเหตุผลที่ดนตรีมีผลต่อการพัฒนาทางตรงและทางอ้อมแก่มนุษย์ ทางบริษัทจีบีวาย ดิจิตอล เทค จำกัด
จึงได้พัฒนาหลักสูตรดนตรีสำหรับประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการเรียนทฤษฎีผ่านระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย
และเรียนปฏิบัติด้วยเปียโนไฟฟ้า โดยทั้งการเรียนทฤษฎีและปฏิบัติจะต้องใช้โปรแกรม Easy Classroom System เพื่อจัดการคาบเรียน
และเก็บผลการเรียนของนักเรียนส่วนบุคคล โดยวัตถุประสงค์สำหรับการเรียนดนตรีมีดังนี้
วัตถุประสงค์
เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1-6 และเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1-6 ที่เรียนดนตรี
ด้วยระบบปฏิบัติการ Easy Classroom System เมื่อเรียนผ่านไป 3 – 6 ปี จะต้องบรรเลงเปียโนได้ทุกคน
ผลสัมฤทธิ์
เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 บรรเลงเพลงคลาสสิคด้วย 2 มือมีระดับโน้ตแบบ ตัวดำ ตัวขาว เขบ็จ 1 ชั้น ได้
เด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1-6 บรรเลงเพลงคลาสสิค ด้วย 2 มือ มีระดับโน้ตแบบ ตัวดำ ตัวขาว
เขบ็จ 1 ชั้น / เขบ็จ 2 ชั้น ได้ หรือสามารถบรรเลงบทเพลง โซนาต้าใน Beginner Level ถึง Intermedia Level ได้
รูปแบบการเรียน
รูปแบบการเรียนการสอนดนตรีด้วยคีย์บอร์ด ในโรงเรียนต่าง ๆ ในปัจจุบัน (พ.ศ.2564)
ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนดนตรีของนักเรียน อิงรูปแบบห้องดนตรีที่มีครูสอน 1-2 คน / คาบ
โดยกำหนดมาตรฐานจากนักเรียนประมาณ 40 คนต่อ 1 ห้องเรียน
ทักษะสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนดนตรี
คิดเป็นร้อยละ
80 -100
70 - 80
60 -70
น้อยกว่าร้อยละ 60
คิดเป็นจำนวนคน
8 -10
10 - 12
10 - 12
3 - 6
คิดเป็นร้อยละต่อห้องเรียน
25
30
30
15
จากตารางรูปแบบการเรียนด้านบน จะเห็นได้ว่ามีเด็กที่สัมฤทธิ์ผลทางการเรียนดนตรีในระดับพอใช้จำนวนร้อยละ
30 และมีเด็กที่สัมฤทธิ์ผล ทางการเรียนดนตรีในระดับต่ำกว่าเกณฑ์จำนวนร้อยละ 15 ซึ่งจะได้เห็นว่า
มีนักเรียนที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วนถึง 45 % ของชั้นเรียน
ที่ผ่านมาทุกโรงเรียนก็เอาเด็กเก่ง 20 – 25 % ไปขึ้นป้ายโชว์ผลงานหน้าโรงเรียน และเด็กอีกจำนวนไม่น้อยที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง ซึ่งครูอาจารย์ควรทำให้เกณฑ์ทั้งห้องได้ "เด็กสัมฤทธิ์ผลมากกว่า 95%" แต่มันยาก!!
ทางบริษัทจีบีวาย ดิจิตอล เทค จำกัด จึงได้ออกแบบเครื่องมือที่จะช่วยจัดการในการเรียนการสอนดนตรีให้กับคุณครู
เพื่อหวังผลสัมฤทธิ์มากกว่า 95% โดยระบบ Easy Classroom เป็นระบบการเรียนดนตรีแบบ "Interactive"
ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ โดยมีหลักคิดและวิธีปฏิบัติดังนี้
ขั้นตอนการเรียนดนตรีด้วย Easy Classroom System
วิธีการ
นักเรียนเดินเข้ามาและนั่งประจำที่เปียโนไฟฟ้า 1 คน ต่อ 1 เครื่อง
นักเรียน Login ด้วยรหัสนักเรียน 5 หลัก
ครูเปิดสาระแกนกลางให้เรียน 5 นาที โดยเรียนผ่าน Tablet หรือ iPad ที่มีการเชื่อมต่อระบบ Midi file
(เรื่องดนตรีในสาระแกนกลางบางเรื่อง "ต้องรู้" แต่ไม่จำเป็น "ต้องจำ" เช่นประวัติดนตรีสมัยสุโขทัย เด็ก ๆ
เรียนรู้สาระแกนกลางด้านทฤษฎีหรือประวัติศาสตร์ดนตรีผ่านวีดีโอกราฟฟิคที่สวยงาม
น่าสนุกน่าติดตาม เห็นภาพจริง
ทำข้อสอบแกนกลางแบบปรนัย 5 ข้อ หากตอบถูกต้องคะแนนจะโชว์ขึ้นมาทันที หากทำผิดระบบจะเฉลย
ข้อที่ถูกต้อง เพื่อนักเรียนจะได้ทราบทันที
เรียนเปียโนกับวีดีโอ
เวลาในการเรียน / นาที
5
2
5
5
25
มีครูสอน และสาถิตการบรรเลงให้นักเรียนดู และให้นักเรียนบรรเลงไปพร้อม ๆ กับคุณครู
(1 เทอม จะมี 16 Exercise ) + (1เพลงสอบ)
วิธีการ
บรรเลงแบบฝึกหัดที่เพิ่งเรียนจบไปใน 3 ความเร็ว
60 BPM จำนวน 2 รอบ
70 BPM จำนวน 2 รอบ
80 BPM จำนวน 2 รอบ
สอบเสร็จครูจะกดส่งคะแนน เพื่อบันทึกเข้าสู่ใบ ปพ.5 หากคะแนนเด็กคนใดไม่ถึง 75 %
จะขึ้นชื่อสีแดง และครูจะเรียกมาซ่อมเสริมอีกครั้ง
รวมเวลาที่ใช้เรียน
เวลาในการเรียน / นาที
6
3
51